
เนื่องจากประเทศไทยเป็นประเทศที่มีอากาศร้อนชื้นตลอดทั้งปี โดยเฉพาะในช่วงฤดูฝนที่ความชื้นในอากาศจะสูงมาก ซึ่งความชื้นเหล่านี้เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดเชื้อรา กลิ่นอับชื้น และยังส่งผลเสียต่อเครื่องใช้ไฟฟ้า เสื้อผ้า รวมไปถึงสุขภาพของผู้อยู่อาศัยได้ เครื่องดูดความชื้น จึงกลายเป็นเครื่องใช้ไฟฟ้าที่หลายครัวเรือนพิจารณาจัดหาไว้เพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าว
บทความนี้เราได้รวบรวม วิธีการเลือกเครื่องดูดความชื้น ที่เหมาะสมกับการใช้งาน ไม่ว่าจะเป็นสำหรับพื้นที่ขนาดเล็กหรือใหญ่ พร้อมกับแนะนำ เครื่องดูดความชื้น คุณภาพดีจากแบรนด์ชั้นนำ เพื่อให้คุณได้พิจารณาเลือกซื้อได้ง่ายขึ้น
วิธีการเลือกเครื่องดูดความชื้น
การเลือกซื้อเครื่องดูดความชื้นสักหนึ่งเครื่องนั้น ต้องอาศัยหลายปัจจัยในการพิจารณา ดังนั้น เพื่อให้คุณได้เครื่องดูดความชื้นที่เหมาะสมกับความต้องการใช้งานมากที่สุด ขอแนะนำวิธีการเลือกเครื่องดูดความชื้น โดยมีข้อมูลดังต่อไปนี้
- พิจารณาประสิทธิภาพในการดูดความชื้น
ประสิทธิภาพในการดูดความชื้นของเครื่องจะวัดในหน่วย “ลิตรต่อวัน” ซึ่งหมายถึงปริมาณน้ำที่เครื่องสามารถดึงออกจากอากาศได้ในระยะเวลา 24 ชั่วโมง เครื่องที่มีประสิทธิภาพสูงจะดูดความชื้นได้มากกว่า เช่น:
- เครื่องขนาดเล็ก: ดูดความชื้นได้ประมาณ 300 มล. – 1 ลิตรต่อวัน เหมาะสำหรับพื้นที่ขนาดเล็ก 5-10 ตารางเมตร
- เครื่องขนาดกลาง: ดูดความชื้นได้ประมาณ 10-15 ลิตรต่อวัน เหมาะสำหรับพื้นที่ขนาด 20-30 ตารางเมตร
- เครื่องขนาดใหญ่: ดูดความชื้นได้ 20 ลิตรขึ้นไปต่อวัน เหมาะสำหรับพื้นที่ขนาดใหญ่ 30 ตารางเมตรขึ้นไป
การเลือกเครื่องที่มีประสิทธิภาพเหมาะสมกับขนาดพื้นที่จะช่วยให้การลดความชื้นเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และช่วยประหยัดค่าไฟฟ้าได้ในระยะยาว
- ความจุถังเก็บน้ำ
ความจุของถังเก็บน้ำเป็นอีกปัจจัยสำคัญที่ควรพิจารณา เพราะจะเกี่ยวข้องกับความถี่ในการเทน้ำทิ้ง ถ้าไม่อยากเทน้ำบ่อยๆ ควรเลือกเครื่องที่มีความจุถังเก็บน้ำมากขึ้น:
- เครื่องขนาดเล็ก: ถังเก็บน้ำประมาณ 1-2 ลิตร
- เครื่องขนาดกลาง: ถังเก็บน้ำประมาณ 2-4 ลิตร
- เครื่องขนาดใหญ่: ถังเก็บน้ำมากกว่า 4 ลิตรขึ้นไป
นอกจากนี้ เครื่องรุ่นที่มีฟังก์ชั่นตัดการทำงานอัตโนมัติเมื่อน้ำเต็มถังจะช่วยเพิ่มความสะดวกและความปลอดภัยในการใช้งาน
- ระดับเสียงขณะทำงาน
เครื่องดูดความชื้นบางรุ่นอาจมีเสียงรบกวนขณะทำงาน ซึ่งอาจเป็นปัญหาหากต้องการใช้ในห้องนอนหรือพื้นที่ที่ต้องการความเงียบ ควรเลือกรุ่นที่มีระดับเสียงต่ำ (วัดในหน่วย dB) หรือมีโหมดทำงานแบบเงียบ (Silent Mode) โดยทั่วไป:
- เครื่องที่เงียบ: ระดับเสียงน้อยกว่า 40 dB
- เครื่องที่มีเสียงปานกลาง: ระดับเสียง 40-50 dB
- เครื่องที่มีเสียงดัง: ระดับเสียงมากกว่า 50 dB
- ฟังก์ชั่นการทำงานเพิ่มเติม
เครื่องดูดความชื้นสมัยใหม่มักมาพร้อมกับฟังก์ชั่นการทำงานที่หลากหลาย เพื่อเพิ่มความสะดวกและประสิทธิภาพในการใช้งาน:
ระบบตั้งค่าความชื้นที่ต้องการ (Humidity Setting)
ฟังก์ชั่นนี้จะช่วยให้คุณสามารถกำหนดระดับความชื้นที่ต้องการในห้อง เช่น 40%, 50% หรือ 60% RH (Relative Humidity) เมื่อความชื้นในห้องลดลงถึงระดับที่ตั้งไว้ เครื่องจะหยุดทำงานชั่วคราวเพื่อประหยัดพลังงาน และจะทำงานอีกครั้งเมื่อความชื้นสูงขึ้น
ระบบฟอกอากาศในตัว
เครื่องดูดความชื้นบางรุ่นมาพร้อมกับระบบฟอกอากาศในตัว เช่น แผ่นกรอง HEPA, ระบบพลาสม่าคลัสเตอร์ หรือระบบปล่อยไอออนลบ ซึ่งช่วยกำจัดแบคทีเรีย เชื้อรา สารก่อภูมิแพ้ และกลิ่นไม่พึงประสงค์ได้ด้วย
ระบบละลายน้ำแข็งอัตโนมัติ
ฟังก์ชั่นนี้จะช่วยป้องกันการเกิดน้ำแข็งเกาะที่คอยล์เย็นของเครื่องเมื่อใช้งานในสภาพอากาศที่มีอุณหภูมิต่ำ ซึ่งจะช่วยยืดอายุการใช้งานของเครื่องและคงประสิทธิภาพในการดูดความชื้น
ระบบตั้งเวลาเปิด-ปิดอัตโนมัติ
ฟังก์ชั่นนี้ช่วยให้คุณสามารถตั้งเวลาเปิดหรือปิดเครื่องอัตโนมัติ เช่น ตั้งให้ทำงาน 8 ชั่วโมงแล้วปิดเอง ช่วยประหยัดพลังงานและสะดวกต่อการใช้งาน
การเชื่อมต่อกับแอปพลิเคชัน (Wi-Fi Connectivity)
เครื่องดูดความชื้นรุ่นใหม่บางรุ่นมีความสามารถในการเชื่อมต่อกับแอปพลิเคชันบนสมาร์ทโฟน ทำให้สามารถควบคุมการทำงานจากระยะไกล ตรวจสอบระดับความชื้น หรือตั้งค่าการทำงานต่างๆ ได้
- การใช้พลังงาน
เครื่องดูดความชื้นเป็นเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ต้องเปิดทิ้งไว้เป็นเวลานาน ดังนั้นการพิจารณาเรื่องการใช้พลังงานจึงเป็นสิ่งสำคัญ เครื่องที่มีประสิทธิภาพสูงในการประหยัดพลังงานจะช่วยลดค่าไฟฟ้าในระยะยาว โดยทั่วไปเครื่องขนาดเล็กจะใช้พลังงานประมาณ 20-45 วัตต์ เครื่องขนาดกลางประมาณ 45-200 วัตต์ และเครื่องขนาดใหญ่อาจใช้พลังงานมากกว่า 200 วัตต์ขึ้นไป
- การออกแบบและขนาดของเครื่อง
ขนาดและน้ำหนักของเครื่องควรเหมาะสมกับพื้นที่ใช้งาน โดยเฉพาะหากต้องการย้ายเครื่องไปใช้ในหลายพื้นที่ ควรเลือกเครื่องที่มีล้อหรือมีด้ามจับที่แข็งแรง นอกจากนี้ การออกแบบที่ทันสมัยจะช่วยให้เครื่องกลมกลืนกับการตกแต่งภายในบ้านมากขึ้น
10 อันดับ เครื่องดูดความชื้น ยี่ห้อไหนดี
NO 1 Bwell เครื่องดูดความชื้น รุ่น BDH-26

ราคา: 13,791 บาท
คะแนน: 4.2/5 (5 รีวิว)
ข้อมูลจำเพาะของสินค้า:
- ความสามารถในการลดความชื้น: 26 ลิตรต่อวัน
- พื้นที่ใช้งาน: 20 – 40 ตารางเมตร
- ความจุถังน้ำ: 4.2 ลิตร
- กำลังไฟ: 285 วัตต์
- แรงดันไฟฟ้า: 220-240V/50Hz
- ระดับเสียง: 40 dB
- ขนาดเครื่อง: 397 x 243 x 625 มิลลิเมตร
- น้ำหนัก: 13.5 กิโลกรัม
จุดเด่น:
- มีหน้าจอ Digital แสดงระดับความชื้น
- สามารถปรับค่าความชื้นที่ต้องการได้ 40% – 70% RH
- สามารถเชื่อมต่อ WiFi ควบคุมการทำงาน
- รับประกันสินค้า 1 ปี (คอมเพรสเซอร์ 3 ปี)
เหมาะสำหรับ: ห้องขนาดกลางถึงใหญ่ ผู้ที่ต้องการเครื่องที่มีประสิทธิภาพสูงและมีระบบควบคุมผ่าน WiFi
NO 2 HAFELE เครื่องดูดความชื้น

ราคา: 2,630 บาท
คะแนน: 4.9/5 (1,200 รีวิว)
ข้อมูลจำเพาะของสินค้า:
- ความสามารถในการลดความชื้น: 750 มล. ต่อวัน
- พื้นที่ใช้งาน: 20 ตารางเมตร
- ความจุถังน้ำ: 2 ลิตร
- กำลังไฟ: 45 วัตต์
- แรงดันไฟฟ้า: 220-240V, 50/60Hz
- ระดับเสียง: ≤42 เดซิเบล
- ขนาดเครื่อง: 228 x 150 x 373 มม.
- น้ำหนัก: 2.2 กิโลกรัม
จุดเด่น:
- น้ำหนักเบา พกพาสะดวก
- มีระบบตัดอัตโนมัติเมื่อระดับน้ำในถังเต็ม
- ทำงานเงียบ ประหยัดพลังงาน
- เหมาะสำหรับผู้ที่มีอาการภูมิแพ้
เหมาะสำหรับ: ห้องขนาดเล็ก ผู้ที่มีงบประมาณจำกัด และต้องการเครื่องขนาดกะทัดรัดที่พกพาสะดวก
NO 3 SHARP เครื่องดูดความชื้น รุ่น DW-D20A-W

ราคา: 11,990 บาท
คะแนน: 5.0/5 (2 รีวิว)
ข้อมูลจำเพาะของสินค้า:
- พื้นที่ใช้งาน: สูงถึง 50 ตารางเมตร
- ความจุถังน้ำ: 4.2 ลิตร
- กำลังไฟ: 270 วัตต์
- ขนาดเครื่อง: 37.4 x 25.0 x 62.0 ซม.
- น้ำหนัก: 14.1 กก.
จุดเด่น:
- มีเทคโนโลยีพลาสม่าคลัสเตอร์ไอออนกำจัดแบคทีเรีย เซลล์เชื้อรา สารก่อภูมิแพ้
- ความหนาแน่นของไอออน 7000 ไอออน/ลบ.ซม.
- มีแผ่นกรอง HEPA ระดับพรีเมี่ยม
- มีโหมดแห้งเร็ว
- มีเซ็นเซอร์วัดความชื้นและคุณภาพอากาศ
- มีฟังก์ชั่นจับเวลา และโหมดสวิงอัตโนมัติ
เหมาะสำหรับ: ห้องขนาดใหญ่ ผู้ที่ให้ความสำคัญกับการกรองอากาศควบคู่ไปกับการลดความชื้น ผู้ที่ต้องการแบรนด์ญี่ปุ่นที่มีคุณภาพและน่าเชื่อถือ
NO 4 Ksrain เครื่องดูดความชื้น รุ่น JD406 พร้อมระบบฟอกอากาศ

ราคา: 891 บาท
คะแนน: 4.8/5 (418 รีวิว)
ข้อมูลจำเพาะของสินค้า:
- ความสามารถในการลดความชื้น: 350 มล./วัน
- พื้นที่ใช้งาน: 5-26 ตารางเมตร
- ความจุถังน้ำ: 1000 มล.
- กำลังไฟ: 36 วัตต์ (สูงสุด 45 วัตต์)
- แรงดันไฟฟ้า: 220V
- ขนาดเครื่อง: 18 x 17 x 27 ซม.
- น้ำหนัก: 1.3 กก.
จุดเด่น:
- มีระบบฟอกอากาศภายในตัวพร้อมไส้กรอง
- กำจัดเชื้อรา แบคทีเรีย ระบบไฟ LED 7สี
- มีไฟ LED 7 สี เพิ่มความผ่อนคลาย
- โหมด Sleep เงียบเหมาะสำหรับใช้ในห้องนอน
- มีระบบตัดไฟอัตโนมัติเมื่อน้ำเต็มถัง
- ราคาประหยัด
เหมาะสำหรับ: ห้องขนาดเล็ก ผู้ที่มีงบประมาณจำกัดและต้องการเครื่องที่มีฟังก์ชั่นเสริมเช่นไฟ LED และระบบฟอกอากาศ
NO 5 LENODI เครื่องดูดความชื้น ขนาด 2.5L

ราคา: 1,024 บาท
คะแนน: 4.5/5 (100 รีวิว)
ข้อมูลจำเพาะของสินค้า:
- ความสามารถในการลดความชื้น: 12 ลิตร/วัน
- ความจุถังน้ำ: 2.2 ลิตร
- กำลังไฟ: 65 วัตต์
- ระดับเสียง: 38 dB
- ขนาดเครื่อง: 232 x 140 x 360 มม.
จุดเด่น:
- มีการทำให้อากาศบริสุทธิ์ด้วยไอออนลบ
- มีกล่องน้ำหอมในตัว เพิ่มความหอมสดชื่น
- หน้าจอสัมผัสใช้งานง่าย
- เสียงเงียบขณะทำงาน
- มีระบบเตือนเมื่อน้ำเต็มถัง
- ประหยัดพลังงาน
เหมาะสำหรับ: ห้องนั่งเล่น ห้องนอน ห้องเก็บของ โรงรถ ห้องเรียน ห้องน้ำ ชั้นใต้ดิน เหมาะกับผู้ที่ต้องการเครื่องราคาไม่แพงแต่มีประสิทธิภาพดี
NO 6 SIMPLUS เครื่องดูดความชื้น รุ่น LiteDry C2

ราคา: 1,599 บาท
ข้อมูลจำเพาะของสินค้า:
- กำลังไฟ: 65 วัตต์
- ความจุถังเก็บน้ำ: 2.5 ลิตร
- อัตราการลดความชื้น: ต่ำสุด 380 มล./ชม.
- ระดับเสียง: 35 dB(A)
- น้ำหนัก: 2 กก.
- ขนาด: 23 x 15 x 35 ซม.
จุดเด่น:
- ปรับลดความชื้นได้ 3 ระดับ
- ละอองน้ำละเอียดระดับนาโน
- เหมาะสำหรับพื้นที่ 40 ตารางเมตร
- ทำงานเงียบ
- รับประกัน 12 เดือน
หมายเหตุ: สินค้านี้เป็นเครื่องเพิ่มความชื้น (Humidifier) ไม่ใช่เครื่องดูดความชื้น (Dehumidifier) เหมาะสำหรับผู้ที่อยู่ในพื้นที่ที่มีอากาศแห้ง
NO 7 KASHIWA เครื่องดูดความชื้น รุ่น HC-101

ราคา: 1,406 บาท
คะแนน: 4.8/5 (32 รีวิว)
ข้อมูลจำเพาะของสินค้า:
- ความจุถังน้ำ: 2.5 ลิตร
- กำลังไฟ: 60 วัตต์
- ความสามารถในการลดความชื้น: 0.38 ลิตร/วัน
- พื้นที่ใช้งาน: 25 ตารางเมตร
- ขนาดเครื่อง: 23 x 15 x 34.5 ซม.
จุดเด่น:
- ถังเก็บน้ำดีไซน์ป้องกันเสียงรบกวน
- มีระบบป้องกันน้ำเต็ม ตัดไฟอัตโนมัติ
- มีแผงสัมผัสและจอ LCD
- ใช้งานง่าย มีปุ่มลดความชื้นในปุ่มเดียว
- แสดงผลอุณหภูมิแบบเรียลไทม์
- รับประกันศูนย์ 1 ปี
เหมาะสำหรับ: ห้องขนาดเล็กถึงกลาง ผู้ที่ต้องการเครื่องราคาประหยัดแต่มีฟังก์ชั่นครบครัน
NO 8 KASHIWA รุ่น HC-102 เครื่องลดความชื้น ขนาด 1.2 ลิตร

ราคา: 831 บาท
คะแนน: 4.9/5 (37 รีวิว)
ข้อมูลจำเพาะของสินค้า:
- ความจุถังน้ำ: 1.2 ลิตร
- กำลังไฟ: 30 วัตต์
- ความสามารถในการลดความชื้น: 100 มล./วัน
- พื้นที่ใช้งาน: 10-30 ตารางเมตร
- ขนาดเครื่อง: 14.5 x 13.5 x 25 ซม.
จุดเด่น:
- ขนาดกะทัดรัด
- ถังเก็บน้ำดีไซน์ป้องกันเสียงรบกวน
- มีระบบป้องกันน้ำเต็ม ตัดไฟอัตโนมัติ
- มีจอสัมผัส ใช้งานง่าย
- แสดงผลอุณหภูมิแบบเรียลไทม์
- รับประกันศูนย์ 1 ปี
เหมาะสำหรับ: ห้องขนาดเล็ก เหมาะสำหรับผู้ที่มีงบประมาณจำกัด และต้องการเครื่องขนาดเล็กที่พกพาสะดวก
NO 9 Deerma Dehumidifier เครื่องลดความชื้นขนาดเล็ก CS50M

ราคา: 499 บาท
คะแนน: 4.8/5 (131 รีวิว)
ข้อมูลจำเพาะของสินค้า:
- พื้นที่ใช้งาน: ≤5 ตารางเมตร
- กำลังไฟ: 20 วัตต์
- แรงดันไฟฟ้า / ความถี่: 220V – 50Hz
- ขนาด: 7.5 x 7.5 x 20.6 ซม.
- น้ำหนัก: 800 กรัม
จุดเด่น:
- ใช้เทคโนโลยีการดูดความชื้นแบบรีไซเคิล ไม่มีวัสดุสิ้นเปลือง
- มีการดูดความชื้นแบบ 360 องศารอบทิศทาง
- มีหน้าต่างแสดงสถานะความชื้นแบบมองเห็นได้ชัดเจน
- ใช้เม็ดดูดความชื้นที่เปลี่ยนสีเมื่อดูดความชื้น (สีส้มเมื่อแห้ง, สีเขียวเข้มเมื่อเปียก)
- มีระบบ PTC อบเม็ดดูดความชื้นเพื่อนำกลับมาใช้ใหม่
- ดีไซน์ทรงกระบอก เหมาะสำหรับพื้นที่ขนาดเล็ก
เหมาะสำหรับ: พื้นที่ขนาดเล็กมาก เช่น ตู้เสื้อผ้า ตู้รองเท้า ลิ้นชัก เหมาะสำหรับผู้ที่มีงบประมาณจำกัดและต้องการเครื่องขนาดเล็กที่สุด
NO 10 Xiaomi Douhe เครื่องลดความชื้น แบบพกพา สําหรับบ้าน ห้องน้ํา ห้องนอน Mijia DH-CS02

ราคา: 1,949 บาท
คะแนน: 4.9/5 (117 รีวิว)
ข้อมูลจำเพาะของสินค้า:
- ความจุถังน้ำ: 2 ลิตร
- กำลังไฟ: 65 วัตต์
- พื้นที่ใช้งาน: 50 ตารางเมตร
- ขนาด: 225 x 152.5 x 312 มม.
- น้ำหนัก: 2.3 กก.
จุดเด่น:
- ดูดความชื้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- มีถังน้ำที่มองเห็นได้ชัดเจน
- มีระบบตัดการทำงานอัตโนมัติเมื่อน้ำเต็มถัง
- เสียงรบกวนในการทำงานต่ำกว่า 41 dB ในโหมดสลีป
- มีเทคโนโลยีการระบายความร้อนแบบเซมิคอนดักเตอร์สองชั้น
- มีฟังก์ชั่นละลายน้ำแข็งอัตโนมัติ
- มีจอแสดงผล LED ควบคุมแบบสัมผัส
- มีฟังก์ชั่นตั้งเวลาทำงาน 8-48 ชั่วโมง
- มาจากแบรนด์ Xiaomi ที่มีชื่อเสียงด้านเทคโนโลยี
เหมาะสำหรับ: ห้องขนาดกลางถึงใหญ่ เหมาะสำหรับผู้ที่ชื่นชอบสินค้าจากแบรนด์ Xiaomi และต้องการเครื่องที่มีเทคโนโลยีทันสมัย
เปรียบเทียบเครื่องดูดความชื้นทั้ง 10 รุ่น
รุ่น | ราคา (บาท) | ประสิทธิภาพดูดความชื้น | ความจุถังน้ำ | พื้นที่ใช้งาน | กำลังไฟ | คะแนนรีวิว |
Bwell BDH-26 | 13,791 | 26 ลิตร/วัน | 4.2 ลิตร | 20-40 ตร.ม. | 285W | 4.2/5 |
HAFELE ECOM-292 | 2,630 | 750 มล./วัน | 2 ลิตร | 20 ตร.ม. | 45W | 4.9/5 |
SHARP DW-D20A-W | 11,990 | ไม่ระบุ | 4.2 ลิตร | 50 ตร.ม. | 270W | 5.0/5 |
JD406 | 891 | 350 มล./วัน | 1 ลิตร | 5-26 ตร.ม. | 36W | 4.8/5 |
LENODI | 1,024 | 12 ลิตร/วัน | 2.2 ลิตร | ไม่ระบุ | 65W | 4.5/5 |
SIMPLUS | 1,599 | 0.38 ลิตร/วัน | 2.5 ลิตร | 40 ตร.ม. | 65W | 4.9/5 |
KASHIWA HC-101 | 1,406 | 0.38 ลิตร/วัน | 2.5 ลิตร | 25 ตร.ม. | 60W | 4.8/5 |
KASHIWA HC-102 | 831 | 100 มล./วัน | 1.2 ลิตร | 10-30 ตร.ม. | 30W | 4.9/5 |
Deerma CS50M | 499 | ใช้เม็ดดูดความชื้น | ไม่มีถังน้ำ | ≤5 ตร.ม. | 20W | 4.8/5 |
Xiaomi Douhe | 1,949 | ไม่ระบุ | 2 ลิตร | 50 ตร.ม. | 65W | 4.9/5 |
สรุป: เครื่องดูดความชื้นรุ่นไหนที่เหมาะกับคุณ
การเลือกเครื่องดูดความชื้นให้เหมาะกับความต้องการนั้น ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย ทั้งขนาดพื้นที่ใช้งาน ระดับความชื้นในพื้นที่ งบประมาณ และฟังก์ชั่นเสริมที่ต้องการ จากการรีวิวทั้ง 10 รุ่นข้างต้น เราสามารถแนะนำได้ดังนี้:
สำหรับห้องขนาดใหญ่ (30 ตร.ม. ขึ้นไป)
- แนะนำ: Bwell BDH-26, SHARP DW-D20A-W, Xiaomi Douhe
- เครื่องเหล่านี้มีประสิทธิภาพในการดูดความชื้นสูง เหมาะกับพื้นที่ขนาดใหญ่ แม้จะมีราคาสูงกว่า แต่คุ้มค่าในระยะยาวเพราะสามารถลดความชื้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ
สำหรับห้องขนาดกลาง (10-30 ตร.ม.)
- แนะนำ: HAFELE ECOM-292, LENODI, KASHIWA HC-101
- เครื่องในกลุ่มนี้มีราคาปานกลาง ประสิทธิภาพการดูดความชื้นเพียงพอสำหรับห้องขนาดกลาง และมีฟังก์ชั่นการใช้งานที่ครบครัน
สำหรับห้องขนาดเล็ก (ไม่เกิน 10 ตร.ม.)
- แนะนำ: JD406, KASHIWA HC-102, Deerma CS50M
- เครื่องในกลุ่มนี้มีราคาประหยัด ขนาดกะทัดรัด เหมาะสำหรับห้องขนาดเล็ก หรือพื้นที่เฉพาะจุดที่มีปัญหาความชื้น
สำหรับผู้ที่ต้องการฟังก์ชั่นฟอกอากาศด้วย
- แนะนำ: SHARP DW-D20A-W, JD406
- เครื่องเหล่านี้มาพร้อมกับฟังก์ชั่นฟอกอากาศเพิ่มเติม ช่วยกำจัดเชื้อโรค สารก่อภูมิแพ้ และกลิ่นไม่พึงประสงค์ได้
สำหรับผู้ที่มีงบประมาณจำกัด
- แนะนำ: Deerma CS50M, JD406, KASHIWA HC-102
- เครื่องในกลุ่มนี้มีราคาต่ำกว่า 1,000 บาท แต่ยังคงมีประสิทธิภาพที่ดีสำหรับพื้นที่ขนาดเล็ก
สำหรับพื้นที่เฉพาะจุด เช่น ตู้เสื้อผ้า ตู้รองเท้า
- แนะนำ: Deerma CS50M
- เครื่องนี้มีขนาดเล็กที่สุด ใช้เทคโนโลยีเม็ดดูดความชื้นแบบรีไซเคิล เหมาะสำหรับพื้นที่เฉพาะจุดที่ต้องการลดความชื้น
ข้อควรรู้ในการใช้งานเครื่องดูดความชื้น
- การวางตำแหน่งเครื่องดูดความชื้น
ควรวางเครื่องในตำแหน่งที่อากาศสามารถไหลเวียนได้ดี ไม่มีสิ่งกีดขวาง และควรวางห่างจากผนังอย่างน้อย 20-30 เซนติเมตร เพื่อให้เครื่องทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- การบำรุงรักษาเครื่องดูดความชื้น
- ทำความสะอาดถังเก็บน้ำอย่างสม่ำเสมอเพื่อป้องกันการเกิดเชื้อรา
- ทำความสะอาดแผ่นกรองอากาศตามระยะเวลาที่ผู้ผลิตแนะนำ
- ตรวจสอบและทำความสะอาดช่องระบายอากาศเพื่อไม่ให้มีฝุ่นอุดตัน
- หากไม่ใช้งานเป็นเวลานาน ควรเทน้ำออกจากถังให้หมด และเช็ดให้แห้งก่อนเก็บ
- คำแนะนำในการใช้งาน
- ควรปิดประตูและหน้าต่างห้องขณะใช้งานเครื่องดูดความชื้น เพื่อให้เครื่องทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- ระดับความชื้นที่เหมาะสมในห้องควรอยู่ที่ประมาณ 40-60% RH
- ควรปิดเครื่องก่อนเทน้ำออกจากถังเก็บน้ำ
- หากใช้งานในพื้นที่ที่มีอุณหภูมิต่ำ ควรเลือกเครื่องที่มีฟังก์ชั่นละลายน้ำแข็งอัตโนมัติ
การลดความชื้นในบ้านอย่างเหมาะสมไม่เพียงแต่ช่วยป้องกันการเกิดเชื้อราและกลิ่นอับชื้นเท่านั้น แต่ยังช่วยยืดอายุการใช้งานของเฟอร์นิเจอร์ เสื้อผ้า และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ รวมถึงช่วยให้สภาพแวดล้อมในบ้านน่าอยู่และส่งผลดีต่อสุขภาพของผู้อาศัยอีกด้วย หวังว่าบทความรีวิวนี้จะช่วยให้คุณตัดสินใจเลือกเครื่องดูดความชื้นที่เหมาะกับความต้องการของคุณได้อย่างแม่นยำมากขึ้น